Loading...

ข้อมูลเชิงลึกด้านกฎหมายและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

ติดตามข่าวสารพร้อมการวิเคราะห์ทางกฎหมายอย่างมีอำนาจ คำแนะนำในทางปฏิบัติ และอัปเดตล่าสุดเกี่ยวกับกฎหมายองค์กร การปฏิบัติตามข้อบังคับ และการกำกับดูแลจากมืออาชีพที่เชื่อถือได้

บทความล่าสุด

การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย: ขั้นตอนและข้อควรรู้ทางกฎหมายสำหรับนักลงทุน

การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย: ขั้นตอนและข้อควรรู้ทางกฎหมายสำหรับนักลงทุน

การเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะในรูปแบบบริษัทจำกัด (Limited Company) เป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทมีขั้นตอนและข้อกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต


1. เลือกชื่อบริษัทและตรวจสอบความซ้ำซ้อน

ก่อนจดทะเบียน ต้องจองชื่อบริษัทผ่านระบบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

  • ห้ามใช้ชื่อซ้ำกับบริษัทอื่น

  • หลีกเลี่ยงคำต้องห้าม เช่น “แห่งชาติ” หรือ “มหาวิทยาลัย” โดยไม่มีสิทธิ์

ข้อแนะนำ: จองชื่อสำรองไว้ด้วย เผื่อชื่อแรกไม่ผ่าน


2. เตรียมเอกสารจดทะเบียนบริษัท

เอกสารหลักประกอบด้วย:

  • แบบคำขอจัดตั้งบริษัท (แบบ บอจ.1)

  • หนังสือบริคณห์สนธิ

  • ข้อบังคับบริษัท (ถ้ามี)

  • รายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ.5)

  • สำเนาบัตรประชาชน/หนังสือเดินทางของกรรมการและผู้ถือหุ้น

หากมีชาวต่างชาติร่วมถือหุ้น ต้องพิจารณากฎหมายต่างด้าวด้วย (ไม่ควรให้ชาวต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% หากไม่ขอใบอนุญาต)


3. เปิดบัญชีธนาคารและลงทะเบียนภาษี

หลังจากจดทะเบียนบริษัทเสร็จเรียบร้อย:

  • เปิดบัญชีธนาคารในนามบริษัท

  • ขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ภายใน 60 วัน)

  • หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: ลืมลงทะเบียนภาษีหรือยื่นล่าช้า ทำให้โดนปรับ


4. การแต่งตั้งกรรมการและกำหนดอำนาจ

ควรระบุอำนาจกรรมการให้ชัดเจน เช่น ใครสามารถลงนามผูกพันบริษัทได้ และต้องมีลายเซ็นร่วมกันหรือไม่

หากมีผู้ร่วมทุนหลายฝ่าย การออกแบบอำนาจกรรมการช่วยป้องกันการควบคุมบริษัทโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


5. ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการจัดตั้งบริษัท

  • ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนประมาณ 5,000 – 10,000 บาท (ขึ้นกับทุนจดทะเบียน)

  • ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมผู้สอบบัญชี ค่าเช่าสำนักงาน ฯลฯ

  • แนะนำให้มีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท หากมีชาวต่างชาติทำงานในบริษัท (เพื่อขอวีซ่า/ใบอนุญาตทำงาน)

ควบรวมกิจการ (M&A) ในประเทศไทย: สิ่งที่นักธุรกิจควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ควบรวมกิจการ (M&A) ในประเทศไทย: สิ่งที่นักธุรกิจควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรง การ ควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition - M&A) กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัทที่ต้องการขยายกิจการ เพิ่มส่วนแบ่งตลาด หรือลดต้นทุน แต่การดำเนินการควบรวมในประเทศไทยนั้นมีประเด็นทางกฎหมายที่ซับซ้อน หากดำเนินการโดยไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ความเสียหายรุนแรง


1. ความแตกต่างระหว่าง Merger และ Acquisition

  • Merger (การควบกิจการ): สองบริษัทหลอมรวมกันเป็นนิติบุคคลใหม่ บริษัทเดิมสิ้นสภาพ

  • Acquisition (การซื้อกิจการ): บริษัทหนึ่งเข้าซื้อหุ้นหรือทรัพย์สินของอีกบริษัท โดยไม่ได้ยุบบริษัทนั้น

ในประเทศไทย นิยมใช้รูปแบบ Acquisition มากกว่า เพราะง่ายต่อการควบคุมและปรับโครงสร้างภาษี


2. การตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence)

ขั้นตอนสำคัญก่อนการตัดสินใจซื้อหรือควบรวมบริษัท คือการตรวจสอบข้อมูลทางกฎหมาย การเงิน ภาษี ทรัพย์สิน และภาระผูกพันต่าง ๆ

ควรมีทีมกฎหมายเข้าร่วมอย่างใกล้ชิด เพื่อ:

  • ตรวจสอบว่าสัญญาที่มีอยู่เดิมมีข้อจำกัดต่อการโอนสิทธิหรือไม่

  • ประเมินความเสี่ยงทางกฎหมาย เช่น คดีความที่ยังค้างอยู่

  • วิเคราะห์ภาระหนี้สินที่อาจไม่แสดงในบัญชีอย่างชัดเจน


3. การขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ

บางธุรกิจ เช่น โทรคมนาคม สื่อ หรือพลังงาน ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับ เช่น กสทช. หรือ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า

ถ้าไม่ขออนุญาตก่อน อาจถูกเพิกถอนการควบรวม หรือถูกปรับเป็นเงินจำนวนมาก


4. ประเด็นด้านแรงงานและพนักงาน

หลังการควบรวม มักมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร ซึ่งอาจนำไปสู่การโยกย้ายพนักงานหรือเลิกจ้าง

ควรดำเนินการอย่างระมัดระวังตามกฎหมายแรงงาน และแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าอย่างเหมาะสม


5. การวางโครงสร้างภาษีอย่างเหมาะสม

การควบรวมสามารถมีผลกระทบทางภาษีอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล หรืออากรแสตมป์

หากวางโครงสร้างไม่ดี อาจเสียภาษีเพิ่มหลายล้านบาทโดยไม่จำเป็น


สรุป

การควบรวมหรือซื้อกิจการไม่ใช่เพียงเรื่องตัวเลข แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความรู้ทางกฎหมายสูง จำเป็นต้องมีที่ปรึกษาด้านกฎหมายและภาษีที่เชี่ยวชาญเพื่อช่วยลดความเสี่ยง และทำให้การควบรวมเป็นไปอย่างราบรื่น

สำนักงานกฎหมายของเรามีทีมเฉพาะด้านสำหรับการควบรวมกิจการ พร้อมให้คำปรึกษา วิเคราะห์ความเสี่ยง และวางโครงสร้างให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
ก่อนจะตัดสินใจซื้อหรือควบรวมใด ๆ ควรเริ่มต้นด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้

ข้อควรรู้ทางกฎหมายก่อนเริ่มธุรกิจร่วมทุน (Joint Venture) ในประเทศไทย

ข้อควรรู้ทางกฎหมายก่อนเริ่มธุรกิจร่วมทุน (Joint Venture) ในประเทศไทย

การทำธุรกิจร่วมทุน หรือที่เรียกว่า Joint Venture (JV) เป็นกลยุทธ์ที่หลายบริษัทเลือกใช้เมื่อต้องการขยายธุรกิจ เพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน หรือเข้าถึงตลาดใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือที่ไม่มีข้อตกลงชัดเจน มักจบลงด้วยข้อพิพาท

บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญที่ควรพิจารณาก่อนจะเริ่มต้นธุรกิจร่วมทุนในประเทศไทย


1. รูปแบบของ Joint Venture ที่ใช้ได้ในไทย

  • Incorporated JV: ตั้งบริษัทใหม่ร่วมกัน (นิติบุคคลใหม่) โดยทั้งสองฝ่ายถือหุ้นตามสัดส่วน

  • Unincorporated JV: ไม่มีการตั้งบริษัท ใช้รูปแบบของสัญญาร่วมกันในการดำเนินธุรกิจ (เช่น สัญญา Consortium)

ข้อแนะนำ: รูปแบบแรกปลอดภัยกว่าในแง่ของโครงสร้าง กฎหมาย และความชัดเจนของความรับผิด


2. การถือหุ้นของชาวต่างชาติ

ตาม พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หากฝ่ายต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% อาจเข้าข่าย “ธุรกิจของคนต่างด้าว” ซึ่งต้องขอใบอนุญาตก่อนประกอบกิจการ

หากไม่วางแผนให้ดี อาจถูกเพิกถอนกิจการหรือต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก


3. สัญญาร่วมทุน (Joint Venture Agreement)

ถือเป็นหัวใจของความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ควรมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้:

  • วัตถุประสงค์ของกิจการร่วมทุน

  • สัดส่วนการลงทุน / การถือหุ้น

  • การแบ่งปันผลกำไรและขาดทุน

  • การจัดการและอำนาจในการตัดสินใจ

  • เงื่อนไขการสิ้นสุดความร่วมมือ

  • แนวทางการระงับข้อพิพาท

ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการใช้สัญญาที่คัดลอกจากต่างประเทศโดยไม่ปรับให้เข้ากับกฎหมายไทย


4. ประเด็นภาษีและทรัพย์สินทางปัญญา

  • ควรระบุชัดเจนว่าใครเป็นเจ้าของ เทคโนโลยี ทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า ที่นำมาใช้ร่วมกัน

  • วางแผนภาษีล่วงหน้าโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการถูกเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อนหรือผิดพลาด

กฎหมายครอบครัว

ดูทั้งหมด
การจัดทำข้อตกลงผู้ถือหุ้น: สิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับบริษัท

13 พ.ค. 2568

กฎหมายครอบครัว

การจัดทำข้อตกลงผู้ถือหุ้น: สิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับบริษัท

แม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้กำหนดให้บริษัทต้องมี ข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Agreement) แต่สำหรับบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นหลายราย โดยเฉพาะบริษัทที่เติบโตเร็ว หรือกำลังมองหานักลงทุน ข้อตกลงนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความขัดแย้งในอนาคต และสร้างความมั่นคงให้กับโครงสร้างธุรกิจ

ข้อตกลงผู้ถือหุ้นคืออะไร?

เป็นข้อตกลงนอกเหนือจากหนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับของบริษัท ซึ่งระบุสิทธิ หน้าที่ และข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้น เช่น วิธีการโหวต การขายหุ้น การเพิ่มทุน หรือกรณีการออกจากบริษัท

ทำไมถึงสำคัญ?

1. ป้องกันความขัดแย้งในอนาคต

เมื่อบริษัทเริ่มเติบโต ความเห็นต่างมักจะเกิดขึ้น ข้อตกลงที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นช่วยลดความเสี่ยงของการฟ้องร้อง หรือการแยกตัวแบบไม่มีระบบ

2. คุ้มครองผู้ถือหุ้นส่วนน้อย

เช่น กำหนดสิทธิในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสำคัญ หรือกำหนดเงื่อนไขที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต้องปฏิบัติต่อรายย่อยอย่างเป็นธรรม

3. วางกรอบสำหรับการเพิ่มทุนและรับนักลงทุน

นักลงทุนมืออาชีพมักจะขอให้บริษัทมีข้อตกลงผู้ถือหุ้นที่ครอบคลุม เพื่อป้องกันผลประโยชน์ของตนเอง และรักษาสมดุลอำนาจ

4. กำหนดขั้นตอนการโอนหุ้น

หากผู้ถือหุ้นรายหนึ่งต้องการขายหุ้น ข้อตกลงสามารถกำหนดให้รายอื่นมีสิทธิเข้าซื้อก่อน (Right of First Refusal) หรือกำหนดราคาขั้นต่ำ

เนื้อหาสำคัญที่ควรมีในข้อตกลง

  • โครงสร้างการถือหุ้นและสิทธิการออกเสียง

  • ขั้นตอนการเพิ่มทุน / ลดทุน

  • เงื่อนไขการขายหุ้น และสิทธิของผู้ถือหุ้นเดิม

  • การกำหนดบทบาทของกรรมการและผู้บริหาร

  • วิธีการระงับข้อพิพาท (เช่น อนุญาโตตุลาการ)

  • Exit Strategy: การขายบริษัท หรือ IPO

ข้อควรระวัง

  • หลีกเลี่ยงการใช้แบบฟอร์มทั่วไปโดยไม่ปรับให้เข้ากับโครงสร้างบริษัทของตน

  • ข้อตกลงควรถูกต้องตามกฎหมายไทย และไม่ขัดต่อข้อบังคับของบริษัท

  • ควรให้ทนายความเชี่ยวชาญตรวจสอบหรือร่างข้อตกลงให้


กฎหมายองค์กร

ดูทั้งหมด
ข้อควรรู้ทางกฎหมายก่อนเริ่มธุรกิจร่วมทุน (Joint Venture) ในประเทศไทย

13 พ.ค. 2568

กฎหมายองค์กร

ข้อควรรู้ทางกฎหมายก่อนเริ่มธุรกิจร่วมทุน (Joint Venture) ในประเทศไทย

การทำธุรกิจร่วมทุน หรือที่เรียกว่า Joint Venture (JV) เป็นกลยุทธ์ที่หลายบริษัทเลือกใช้เมื่อต้องการขยายธุรกิจ เพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน หรือเข้าถึงตลาดใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือที่ไม่มีข้อตกลงชัดเจน มักจบลงด้วยข้อพิพาท

บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญที่ควรพิจารณาก่อนจะเริ่มต้นธุรกิจร่วมทุนในประเทศไทย


1. รูปแบบของ Joint Venture ที่ใช้ได้ในไทย

  • Incorporated JV: ตั้งบริษัทใหม่ร่วมกัน (นิติบุคคลใหม่) โดยทั้งสองฝ่ายถือหุ้นตามสัดส่วน

  • Unincorporated JV: ไม่มีการตั้งบริษัท ใช้รูปแบบของสัญญาร่วมกันในการดำเนินธุรกิจ (เช่น สัญญา Consortium)

ข้อแนะนำ: รูปแบบแรกปลอดภัยกว่าในแง่ของโครงสร้าง กฎหมาย และความชัดเจนของความรับผิด


2. การถือหุ้นของชาวต่างชาติ

ตาม พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หากฝ่ายต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% อาจเข้าข่าย “ธุรกิจของคนต่างด้าว” ซึ่งต้องขอใบอนุญาตก่อนประกอบกิจการ

หากไม่วางแผนให้ดี อาจถูกเพิกถอนกิจการหรือต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก


3. สัญญาร่วมทุน (Joint Venture Agreement)

ถือเป็นหัวใจของความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ควรมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้:

  • วัตถุประสงค์ของกิจการร่วมทุน

  • สัดส่วนการลงทุน / การถือหุ้น

  • การแบ่งปันผลกำไรและขาดทุน

  • การจัดการและอำนาจในการตัดสินใจ

  • เงื่อนไขการสิ้นสุดความร่วมมือ

  • แนวทางการระงับข้อพิพาท

ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการใช้สัญญาที่คัดลอกจากต่างประเทศโดยไม่ปรับให้เข้ากับกฎหมายไทย


4. ประเด็นภาษีและทรัพย์สินทางปัญญา

  • ควรระบุชัดเจนว่าใครเป็นเจ้าของ เทคโนโลยี ทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า ที่นำมาใช้ร่วมกัน

  • วางแผนภาษีล่วงหน้าโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการถูกเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อนหรือผิดพลาด

กฎหมายทรัพย์สิน

ดูทั้งหมด
ควบรวมกิจการ (M&A) ในประเทศไทย: สิ่งที่นักธุรกิจควรรู้ก่อนตัดสินใจ

13 พ.ค. 2568

กฎหมายทรัพย์สิน

ควบรวมกิจการ (M&A) ในประเทศไทย: สิ่งที่นักธุรกิจควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรง การ ควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition - M&A) กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัทที่ต้องการขยายกิจการ เพิ่มส่วนแบ่งตลาด หรือลดต้นทุน แต่การดำเนินการควบรวมในประเทศไทยนั้นมีประเด็นทางกฎหมายที่ซับซ้อน หากดำเนินการโดยไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ความเสียหายรุนแรง


1. ความแตกต่างระหว่าง Merger และ Acquisition

  • Merger (การควบกิจการ): สองบริษัทหลอมรวมกันเป็นนิติบุคคลใหม่ บริษัทเดิมสิ้นสภาพ

  • Acquisition (การซื้อกิจการ): บริษัทหนึ่งเข้าซื้อหุ้นหรือทรัพย์สินของอีกบริษัท โดยไม่ได้ยุบบริษัทนั้น

ในประเทศไทย นิยมใช้รูปแบบ Acquisition มากกว่า เพราะง่ายต่อการควบคุมและปรับโครงสร้างภาษี


2. การตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence)

ขั้นตอนสำคัญก่อนการตัดสินใจซื้อหรือควบรวมบริษัท คือการตรวจสอบข้อมูลทางกฎหมาย การเงิน ภาษี ทรัพย์สิน และภาระผูกพันต่าง ๆ

ควรมีทีมกฎหมายเข้าร่วมอย่างใกล้ชิด เพื่อ:

  • ตรวจสอบว่าสัญญาที่มีอยู่เดิมมีข้อจำกัดต่อการโอนสิทธิหรือไม่

  • ประเมินความเสี่ยงทางกฎหมาย เช่น คดีความที่ยังค้างอยู่

  • วิเคราะห์ภาระหนี้สินที่อาจไม่แสดงในบัญชีอย่างชัดเจน


3. การขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ

บางธุรกิจ เช่น โทรคมนาคม สื่อ หรือพลังงาน ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับ เช่น กสทช. หรือ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า

ถ้าไม่ขออนุญาตก่อน อาจถูกเพิกถอนการควบรวม หรือถูกปรับเป็นเงินจำนวนมาก


4. ประเด็นด้านแรงงานและพนักงาน

หลังการควบรวม มักมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร ซึ่งอาจนำไปสู่การโยกย้ายพนักงานหรือเลิกจ้าง

ควรดำเนินการอย่างระมัดระวังตามกฎหมายแรงงาน และแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าอย่างเหมาะสม


5. การวางโครงสร้างภาษีอย่างเหมาะสม

การควบรวมสามารถมีผลกระทบทางภาษีอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล หรืออากรแสตมป์

หากวางโครงสร้างไม่ดี อาจเสียภาษีเพิ่มหลายล้านบาทโดยไม่จำเป็น


สรุป

การควบรวมหรือซื้อกิจการไม่ใช่เพียงเรื่องตัวเลข แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความรู้ทางกฎหมายสูง จำเป็นต้องมีที่ปรึกษาด้านกฎหมายและภาษีที่เชี่ยวชาญเพื่อช่วยลดความเสี่ยง และทำให้การควบรวมเป็นไปอย่างราบรื่น

สำนักงานกฎหมายของเรามีทีมเฉพาะด้านสำหรับการควบรวมกิจการ พร้อมให้คำปรึกษา วิเคราะห์ความเสี่ยง และวางโครงสร้างให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
ก่อนจะตัดสินใจซื้อหรือควบรวมใด ๆ ควรเริ่มต้นด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้

กฎหมายอาญา

ดูทั้งหมด
การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย: ขั้นตอนและข้อควรรู้ทางกฎหมายสำหรับนักลงทุน

13 พ.ค. 2568

กฎหมายอาญา

การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย: ขั้นตอนและข้อควรรู้ทางกฎหมายสำหรับนักลงทุน

การเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะในรูปแบบบริษัทจำกัด (Limited Company) เป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทมีขั้นตอนและข้อกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต


1. เลือกชื่อบริษัทและตรวจสอบความซ้ำซ้อน

ก่อนจดทะเบียน ต้องจองชื่อบริษัทผ่านระบบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

  • ห้ามใช้ชื่อซ้ำกับบริษัทอื่น

  • หลีกเลี่ยงคำต้องห้าม เช่น “แห่งชาติ” หรือ “มหาวิทยาลัย” โดยไม่มีสิทธิ์

ข้อแนะนำ: จองชื่อสำรองไว้ด้วย เผื่อชื่อแรกไม่ผ่าน


2. เตรียมเอกสารจดทะเบียนบริษัท

เอกสารหลักประกอบด้วย:

  • แบบคำขอจัดตั้งบริษัท (แบบ บอจ.1)

  • หนังสือบริคณห์สนธิ

  • ข้อบังคับบริษัท (ถ้ามี)

  • รายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ.5)

  • สำเนาบัตรประชาชน/หนังสือเดินทางของกรรมการและผู้ถือหุ้น

หากมีชาวต่างชาติร่วมถือหุ้น ต้องพิจารณากฎหมายต่างด้าวด้วย (ไม่ควรให้ชาวต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% หากไม่ขอใบอนุญาต)


3. เปิดบัญชีธนาคารและลงทะเบียนภาษี

หลังจากจดทะเบียนบริษัทเสร็จเรียบร้อย:

  • เปิดบัญชีธนาคารในนามบริษัท

  • ขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ภายใน 60 วัน)

  • หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: ลืมลงทะเบียนภาษีหรือยื่นล่าช้า ทำให้โดนปรับ


4. การแต่งตั้งกรรมการและกำหนดอำนาจ

ควรระบุอำนาจกรรมการให้ชัดเจน เช่น ใครสามารถลงนามผูกพันบริษัทได้ และต้องมีลายเซ็นร่วมกันหรือไม่

หากมีผู้ร่วมทุนหลายฝ่าย การออกแบบอำนาจกรรมการช่วยป้องกันการควบคุมบริษัทโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


5. ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการจัดตั้งบริษัท

  • ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนประมาณ 5,000 – 10,000 บาท (ขึ้นกับทุนจดทะเบียน)

  • ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมผู้สอบบัญชี ค่าเช่าสำนักงาน ฯลฯ

  • แนะนำให้มีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท หากมีชาวต่างชาติทำงานในบริษัท (เพื่อขอวีซ่า/ใบอนุญาตทำงาน)

ติดต่อเรา

เริ่มต้นกับเรา ข้อมูลเพิ่มเติม และทีมสนับสนุน

ที่อยู่ของเรา

4821 Ridge Top Cir, Anchorage Street, Alaska 99508, United States America.

ติดต่อเรา

จดหมายข่าวของเรา

ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารและบทความล่าสุดของเรา

© ลิขสิทธิ์ 2024 สงวนลิขสิทธิ์ HLG.